You are currently viewing มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ ดาวรุ่งที่มีครบทุกมิติของการเป็นกองกลางตัวรุก

มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ ดาวรุ่งที่มีครบทุกมิติของการเป็นกองกลางตัวรุก

ต้องยอมรับว่านักเตะสัญชาติอังกฤษในยุคหลัง 2010 นี้ มีหลายคนน่าจับตามองและหลายคนได้ก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ดังแล้วเรียบร้อย บูกาโย ซากา, ฟิล โฟเดน, ค็อบบี ไมนู, โคล พาล์มเมอร์ หรือ  จู๊ด เบลลิ่งแฮม แต่นอกจากรายชื่อดังกล่าวแล้วยังมีอีกคนที่น่าจับตามอง เจ้าตัวโลดแล่นอยู่ในฟุตบอลอังกฤษมาหลายปี จนตอนนี้เขาได้รับหน้าที่ใหญ่และสามารถสร้างผลงานได้ดีเรื่อย ๆ นั่นคือ มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ กองกลางตัวรุกแห่งเจ้าป่าฟอเรสต์ ที่เราพร้อมจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกองกลางตัวรุกสุดครบเครื่องคนนี้ไปพร้อม ๆ กัน

MorganGibbs-White

ประวัติของ มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม ปี ค.ศ. 2000 ที่เมืองสแตฟฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีเชื้อสายจาเมกา แต่ก็เกิดและเติบโตในสแตฟฟอร์ด ทำให้ชื่นชอบและหลงรักฟุตบอลมาตั้งแต่ยังเล็ก จนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนเซอร์เกรแฮม บัลโฟร์ แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนแถวบ้านแต่ก็มีเพื่อนชวนเล่นฟุตบอลอยู่เสมอ

ทำให้เขาเริ่มฝึกฝนตัวเอง จนเมื่อย้ายไปเรียนที่โรงเรียนโธมัส เทลฟอร์ด ในเมืองเทลฟอร์ด ได้มีครูฝึกสอนอย่าง เดส ลีตเทิล มองเห็นแววในตัวเขา จับมาเป็นนักเตะฝึกหัดของโรงเรียร

จนเมื่อ MorganGibbs-White อายุได้ 8 ขวบเขาก็มีโอกาสเข้ามาอยู่กับอะคาเดมี่ของสโมสรวูล์ฟแฮมป์ตันวันเดอเรอร์ส โค้ชเริ่มมองเห็นทักษะในการครองบอล จ่ายบอล และการอ่านเกม ทำให้ถูกจับไปเล่นในตำแหน่งกองกลางซึ่งตนเองก็ชอบด้วย จนเมื่ออายุ 16 ปี กิ๊บบ์ส-ไวท์ ก็ถูกดันขึ้นมาเป็นตัวสำรองให้กับทีมอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในช่วงแรกจะยังช่วยทีมได้ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่ามีแววในฐานะดาวรุ่งดวงใหม่

MorganGibbs-White

MorganGibbs-White ได้รับสัญญานักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับสโมสรวูล์ฟแฮมป์ตันวันเดอเรอร์ส ในฤดูกาล 2017 – 18 การปรากฏตัวครั้งแรกของเขาในพรีเมียร์ลีก มาเป็นตัวสำรองในช่วงท้าย โดยแมตช์แจ้งเกิดเป็นครั้งที่เปิดบ้านพบกับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2017 แม้ว่าทีมจะแพ้ 3–2 แต่ผลงานของ Gibbs-White ก็ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษ

MorganGibbs-White

ทีมจึงตัดสินใจปล่อยยืมเขาไปเพื่อหาประสบการณ์ ได้แก่ สวอนซี และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าทำผลงานได้ดีเยี่ยมกับเชฟฟิลล์ ฃลงเล่นไป 35 นัดสามารถยิงได้ถึง 11 ประตู และกลับมาเล่นให้กับวูล์ฟแฮมป์ตันอีกเล็กน้อย ลงเล่นไปทั้งหมด 68 นัด กิ๊บบ์ส-ไวท์ สามารถยิงไป 2 ประตู

MorganGibbs-White

หลังจาก มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับสโมสรเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มขึ้นมาอยู่ในตลาดนักเตะอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นทีมน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เจ้าป่าที่กำลังเสริมทัพอย่างดุเดือดในช่วงฤดูกาล 2022 – 23 ย้ายมาด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์และแอดออนพิเศษหากทำผลงานได้ดีอีก 17 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็นหนึ่งในนักเตะทั้ง 17 คนที่พวกเขาเลือกจะคว้ามาปั่นทีม

แน่นอนว่าการเข้ามาของ Gibbs-White ถือว่าเป็นความหวังให้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อย่างมาก เขาไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวอะไรมากนัก ก็สามารถดึงเอาความสามารถของการเป็นกองกลางตัวรุกมาได้อย่างครบถ้วน เขาสามารถเก็บบอลไว้กับตัวเพื่อนสร้างสรรค์เกมในแนวรุก

MorganGibbs-White

โดยแผนการเล่นของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ มีกองกลางตัวรับคอยเก็บกวาดอยู่แล้ว ทำให้ มอร์แกน Gibbs-White ไม่ต้องเสียแรงวิ่งลงมาช่วยเกมรับมากนัก เขาสามารถไปกับบอลได้ดีมีทักษะในการใช้เท้าที่สุดยอด เมื่อมองเห็นโอกาสเขาจะเลือกจ่ายบอลให้กับเพื่อนในตำแหน่งที่ดีที่สุด นอกจากนั้นแล้ว Gibbs-White ยังสามารถยิงลูกระยะไกลหรือลูกตั้งเตะได้อีกด้วย

ตัวของ MorganGibbs-White ได้รับคำชมหลายครั้งในเรื่องของการอ่านเกมดีเยี่ยม เชื่อว่าหากเขาเล่นต่อเนื่องไปหรือได้ข้ามไปสู่ทีมใหญ่ ด้วยฝีเท้าของเขาจะต้องพัฒนาได้มากกว่านี้ ปัจจุบันเขาเล่นให้กับสีเสื้อของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ไปลง 68 นัดและยิงไปได้ 10 ประตู สำหรับทีมชาติอังกฤษเขาได้โอกาสลงเล่นตั้งแต่ทีมชุด U-17 สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์ได้ปี 2017 ที่ประเทศอินเดีย

MorganGibbs-White

โดย มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ มีส่วนช่วยทำประตูทำได้ 2 ประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ ในนัดที่พบกับสหรัฐอเมริกาในการชนะ 4–1 รอบก่อนรองชนะเลิศ และอีกครั้งหนึ่งในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทีมชาติอังกฤษสามารถเอาชนะชนะทีมชาติสเปนไป 5–2 ซึ่งในแมตซ์นั้นมีปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติของความเป็นชายผิวสีของเขาด้วย แต่ก็ไม่ได้เกิดปัญหาในระหว่างแมตซ์แต่อย่างใด

จากนั้น กิ๊บบ์ส-ไวท์ ก็ขยับขึ้นมาช่วยทีมชาติอังกฤษชุด U – 23 มีโอกาสแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 2019 ที่อิตาลี เขาลงสนามนัดแรกให้กับทีมและแมตช์สุดก่อนตกรอบไป ร่วมแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 2023 เขายิงประตูในนัดรอบรองชนะเลิศ ช่วยให้ทีมชาติอังกฤษเอาชนะสเปนไปได้นั่นเอง

ชอบบทความนี้กดแชร์ได้เลย