หากย้อนไปในยุคเก่าประมาณสัก 10 – 15 ปี ผู้เล่นในตำแหน่งเบอร์ 10 คือ ตัวเพลย์เมเกอร์คนสำคัญของทีม ที่จะช่วยเปิดบอล จ่ายบอล สร้างสรรค์เกม และช่วยให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันเราจะหานักเตะประเภทนี้ได้น้อยมาก สำหรับในตอนนี้ดูเหมือนจะมีแค่ เจมส์ แมดดิสัน กองกลางของสเปอร์สที่ยังคงเล่นสไตล์นี้ แต่ก็ใช่ว่าแฟนบอลทุกคนจะชอบที่เขายังเล่นแบบสไตล์ ซึ่งเขาจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวแบกของทีมได้หรือไม่ วันนี้เรามาทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
ประวัติของ เจมส์ แมดดิสัน เขาเกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 เด็กหนุ่มจากเมืองคอเวนทรี ประเทศอังกฤษ เขาชอบเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ยังเล็ก เมื่ออายุ 5 ขวบก็ได้เข้าไปฝึกกับอะคาเดมี่ของทีมโคเวนทรีในบ้านเกิด เขาถูกจับไปเล่นในตำแหน่งกองกลาง เพราะมีความในการครองบอลสูง และสามารถจ่ายบอลให้กับเพื่อนอย่างแม่นยำ จนเมื่ออายุได้ 13 ปี ตัวของ แมดดิสัน ก็ถูกจับเซ็นสัญญาขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่
ความสามารถและฝีเท้าของ James Maddison ค่อย ๆ ฉายแววให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เขามีส่วนสำคัญในการทำประตูอยู่เสมอ โดยเฉพาะลูกยิงไกลของเขาที่มักจะมาในนาทีสำคัญ ลงเล่นไป 24 นัดและยิงไปได้ 4 ประตู จากนั้นก็ย้ายมาเล่นให้กับ ทีม นอริช ซิตี ในฤดูกาล 2016 ตอนนี้เขาเริ่มฉายแววความเป็นนักเตะชื่อดัง ลงเล่นไป 47 นัดและยิงไปได้ 15 นัด และยังแอสซิตส์แบบกระจุยกระจาย ในระหว่างนั้นก็มีถูกปล่อยยืมตัวไป ทีม โคเวนทรี ซิตี และทีมอาเบอดีน อยู่ด้วย
จนในฤดูกาล 2018 Maddison ก็ได้ถูก เลสเตอร์ ซิตี้ ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ เขาตลอดระยะเวลา 5 ปีเขาลงเล่นไป 203 นัด ยิงได้ 55 ประตู และ ทำแอสซิสต์ได้อีก 41 ลูก ถือว่าเป็นพร้อมคว้าแชมป์เอฟเอคัพกับทีม 1 สมัย
จนในฤดูกาล 2023 เจมส์ แมดดิสัน ก็เริ่มเป็นที่ต้องการของทีมใหญ่หลายทีม ไม่ว่าจะเป็น นิวคาสเซิล หรือ สปอร์ส เพราะต้นสังกัดของเขาอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องตกชั้นลงไปเล่นลีกล่าง ทำให้หลายทีมที่กำลังมองหาเพลย์เมเกอร์เลือกเสนอสัญญามาให้เขา กลายเป็น ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ด้วยค่าตัวถึง 40 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญาไปจนถึงปี 2028
โดยนักเตะวัย 26 ปีคนนี้บอกว่าเขารู้สึกตื่นเต้นมาก ที่จะได้มาสวมเบอร์ 10 ต่อจากแฮร์รี่เคน แม้ว่าจะมาในคนละตำแหน่งกันแต่เขาก็พร้อมใช้ความสามารถและฝีเท้า สร้างความสำเร็จให้กับทีมเพื่อไม่ให้แฟนบอลผิดหวัง การย้ายทีมของ แมดดิสัน มายังสเปอร์สมีข้อครหาอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเขาจะเป็นกำลังให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ แต่ทีมก็ได้ตกชั้นไปแฟนบอลหลายคนมองว่าเขาฟอร์มตกไปแล้ว ยิ่งไม่ได้มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษเลย
แม้ว่าจะถูกเรียกทีมก็ตาม รวมไปถึงสไตล์การเล่นของเขาที่แม้ว่าจะเปิดบอลสร้างสรรค์โอกาสได้หลายครั้ง แต่หลายครั้งก็ดูจะเสียบอลไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นเดียวกัน จุดนี้ยิ่งทำให้มองเห็นจุดอ่อนของเขาอย่างชัดเจน รวมไปถึงอาการบาดเจ็บแบบสามวันดีสี่วันไข้ที่มีให้เห็นกันอยู่เรื่อย ๆ
James Maddison ก็ยังถือว่าเป็นเพลย์เมเกอร์ที่น่ากลัว ทุกลูกที่ออกจากเท้าของเขามาจากมันสมองที่ผ่านการคิดมาแล้วทั้งสิ้น เขามักจะมองเกมทั้งหมดในตอนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น รู้ว่าควรจะขึ้นเกมไปทางไกน สั้นหรือยาว หรือควรจะพาบอลขึ้นไปเอง ถือว่าเป็นผู้เล่นสไตล์เบอร์ 10 ยุคก่อนที่หาแทบไม่ได้แล้วในปัจจุบัน จุดด้อยคือไม่ได้มีพละกำลังมากนัก ไม่เก่งเรื่องไล่บอล ไล่เพลสซิ่ง หรือวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งเกม
ต้องบอกว่าตัวของ Maddison เข้าใจในจุดนี้ดี เมื่อย้ายมาเล่นให้กับไก่เดือยทอง จึงได้พยายามปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นของตนเองใหม่ ให้สามารถออกไปเล่นฝั่งริมเส้นมากขึ้น โดยเฉพาะแนวรุกฝั่งซ้ายที่เขาเองก็พอมีอันตรายจากลูกยิงไกล มีความสามารถในการพาบอลขึ้นหน้า หรือจะเลือกจ่ายบอลให้กับเพื่อนก็ทำได้เช่นเดียวกัน พยายามลงมาเอาบอลหรือตัดบอลในแนวลึก เล่นต่อบอลกับเพื่อนให้มากกว่าปกติ
แม้ว่าอาจจะยังไม่ได้เนียนตาหรือดีมาก แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับตัวที่ช่วยทีมมีสมดุลมากยิ่งขึ้น เพราะ เจมส์ Maddison ไม่จำเป็นต้องแบกทีมเหมือนกับสมัยเล่นกับเลสเตอร์นั่นเอง การตัดสินใจทำแบบนี้เหมือนช่วยยกระดับทั้งตังเขาและ ทีมสเปอร์ส ยุคปัจจุบันไปพร้อม ๆ กัน เพราะเราต้องไม่ลืมว่าความอันตรายในการจ่ายบอลคิลเลอร์พาสของเขายังมีอยู่ ฉะนั้นคู่แข่งก็ต้องพยายามตัดบอลจาก Maddison ในบทบาทใหม่ ทำให้เกิดความยากมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
ปัจจุบัน แมดดิสัน ลงเล่นให้กับทีมสเปอร์ส ไป 23 นัด ยิงได้ 4 ประตูและ 7 แอสซิสต์ ผ่านมาเกือบ ๆ สองฤดูกาลก็อาจจะไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอย่างชัดเจน แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ว่าเขาคุ้มค่ากับทีมไก่เดือยทองหรือไม่ เป็นกำลังใจให้ทั้งแฟนทีมสเปอร์สและตัวเขา สามารถพาทีมมาอยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็น เชื่อว่าเพลย์เมเกอร์คนนี้ต้องมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในเร็ววัน